อัพเดท Google Workspace
ไม่ใช่แค่ AI แต่คือ ‘Agentic AI’: สิ้นสุดยุคการทำงานแยกจากกันโดยสิ้นเชิงด้วย Gemini Enterprise จาก Google Cloud
แม้ว่าองค์กรต่างๆ จะพยายามลงทุนในเครื่องมือ AI มากเพียงใด แต่เครื่องมือเหล่านั้นกลับทำงานแยกส่วนกันอย่างสิ้นเชิง ลองนึกภาพตาม: ทีมขายมี AI อัจฉริยะในระบบ CRM ช่วยวิเคราะห์โอกาส, ทีมการตลาดใช้ AI อีกตัวเพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์, ขณะที่ฝ่ายการเงินก็มี AI สำหรับพยากรณ์ตัวเลขโดยเฉพาะ พนักงานอาจมี AI ช่วยเขียนอีเมล, AI ช่วยสรุปเอกสาร, หรือ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล แต่ AI เหล่านี้ต่างคนต่างอยู่ ไม่รู้จักกัน และไม่สามารถผนึกกำลังกันเพื่อจัดการ “งานที่ซับซ้อน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจได้ ผลลัพธ์คืออะไร? คือการสูญเสียประสิทธิภาพ พนักงานต้องเสียเวลาสลับไปมาระหว่างแอปพลิเคชัน, คัดลอกข้อมูลจากระบบหนึ่งไปวางอีกระบบหนึ่ง และพยายามปะติดปะต่อผลลัพธ์จาก AI หลายๆ ตัวเข้าด้วยกันด้วยตนเอง กระบวนการทำงานที่ควรจะเป็นอัตโนมัติแบบ end-to-end เช่น การจัดทำรายงานผลประกอบการรายไตรมาส ซึ่งต้องดึงข้อมูลจากทั้ง Salesforce, SAP, และ Google Ads กลับกลายเป็นคอขวดที่ต้องใช้แรงงานคนมหาศาล นี่คืออุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ยุค AI อย่างแท้จริง และทำให้ศักยภาพของ AI ถูกจำกัดอยู่แค่การทำงานย่อยๆ เท่านั้น วันนี้ Google Cloud ไม่ได้มาเพื่อปรับปรุงแก้ไข แต่มาเพื่อ “รื้อสร้าง” กระบวนทัศน์นี้ใหม่ทั้งหมด ด้วยการประกาศเปิดตัว Gemini Enterprise (ซึ่งพัฒนามาจากวิสัยทัศน์ในชื่อ Agentspace) นี่ไม่ใช่แค่ Chatbot หรือผู้ช่วย AI ที่ฉลาดขึ้น แต่คือการมาถึงของแพลตฟอร์ม “Agentic AI” ที่ครบวงจรและบูรณาการที่สุดในอุตสาหกรรม มันถูกออกแบบมาเพื่อทำลายกำแพงไซโล ทำหน้าที่เป็น “ประตูบานแรกสู่โลก AI” (front door for everything AI) ซึ่งเป็นจุดเข้าใช้งานเพียงจุดเดียวสำหรับพนักงานทุกคนในองค์กร ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการความช่วยเหลือด้านใดก็ตาม คำว่า “Agentic AI” อาจฟังดูซับซ้อน แต่หัวใจของมันคือการเปลี่ยนจากการสั่งให้ AI ทำ “งานเดี่ยว” (single task) ไปสู่การมอบหมายให้ AI จัดการ “ภารกิจ” (mission) ที่ซับซ้อนแทนเรา แล้วเบื้องหลังความสามารถอันน่าทึ่งนี้มีอะไรซ่อนอยู่? ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกว่า Gemini Enterprise ช่วยแก้ปัญหาการทำงานแบบไซโลได้อย่างไร และองค์ประกอบหลักใดที่ทำให้แพลตฟอร์มนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะพลิกโฉมหน้า AI ในที่ทำงานไปตลอดกาล องค์ประกอบหลักของ Gemini Enterprise: เมื่อ AI ทำงานเป็น “กองทัพ” Gemini Enterprise ถูกออกแบบมาเพื่อทลายกำแพงไซโล โดยเชื่อมต่อพนักงานเข้ากับข้อมูลและกระบวนการทำงานต่างๆ ทั่วทั้งองค์กร ทำให้สามารถสั่งการ AI Agent (ผู้ช่วยอัจฉริยะ) ให้ทำงานที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนได้โดยอัตโนมัติ ความมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นได้จากองค์ประกอบหลักที่ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ 1. ขับเคลื่อนด้วย Gemini Models (The Brains) หัวใจและ “สมอง” ของระบบนี้ คือขุมพลังจากโมเดล AI ตระกูล Gemini ที่ล้ำหน้าที่สุดของ Google ทำให้แพลตฟอร์มมีความสามารถในการให้เหตุผลที่ซับซ้อน เข้าใจได้หลายรูปแบบ (Multimodal) และสามารถประมวลผลคำสั่งที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์หลายชั้น ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงานที่ซับซ้อน 2. กองทัพ AI Agent ที่พร้อมใช้งาน (The Taskforce) Gemini Enterprise ไม่ได้มามือเปล่า แต่มาพร้อมกับ “กองทัพ” AI Agent ที่ Google สร้างไว้ล่วงหน้า (Google-built agents) สำหรับงานเฉพาะทางที่พบบ่อยในองค์กร ไม่ว่าจะเป็น Agent สำหรับการวิจัยเชิงลึก (Run Deep Research), การระดมสมอง (Idea Generation), หรือแม้กระทั่งการสร้างวิดโอและรูปภาพ นอกจากนี้ องค์กรยังสามารถสร้าง Agent ของตนเอง หรือเลือกใช้ Agent จากพาร์ทเนอร์ในระบบนิเวศของ Google ได้อีกด้วย 3. เครื่องมือสร้าง Agent แบบ No-code (The Workbench) นี่คือจุดที่เปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง “The Workbench” คือชุดเครื่องมือที่ช่วยให้พนักงานทุกคน แม้จะไม่ได้อยู่ในสายงานเทคนิคหรือเขียนโค้ดไม่เป็น สามารถสร้างและควบคุม (Orchestrate) AI Agent ของตนเองได้ ลองนึกภาพพนักงานฝ่ายการตลาดสร้าง Agent เพื่อดึงข้อมูลยอดขายจาก Salesforce วิเคราะห์คู่แข่ง แล้วร่างแคมเปญใหม่โดยอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องรอฝ่าย IT 4. เชื่อมต่อทุกข้อมูลอย่างปลอดภัย (The Context) Agent ที่ฉลาดที่สุดก็ไร้ประโยชน์หากเข้าไม่ถึงข้อมูลที่ถูกต้อง Gemini Enterprise ถูกออกแบบมาให้เชื่อมต่อกับข้อมูลของบริษัทได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะอยู่ที่ไหน นี่คือหัวใจของการแก้ปัญหาไซโล เพราะมันสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจาก Google Workspace, Microsoft 365 ไปจนถึงแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่สำคัญอย่าง Salesforce, SAP และระบบอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ AI ทำงานโดยอิงจาก “ความจริง” (grounded in the reality) ขององค์กรคุณ ผู้ใช้งานสามารถ เลือกเปิด-ปิด (Toggle) การเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลต่างๆ ได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลภายใน (เช่น SharePoint, Drive, Jira) หรือข้อมูลจากเว็บภายนอก เพื่อให้ได้คำตอบที่แม่นยำและอยู่ในบริบทที่ถูกต้องที่สุด 5. ระบบควบคุมจากส่วนกลาง (The Governance) การให้ AI เข้าถึงข้อมูลสำคัญย่อมมาพร้อมกับความกังวลด้านความปลอดภัย Google Cloud เข้าใจดีจึงได้สร้างกรอบการกำกับดูแลที่แข็งแกร่ง ช่วยให้ฝ่าย IT และ Security สามารถมองเห็นภาพรวม (visibility), รักษาความปลอดภัย และตรวจสอบ (audit) การทำงานของ AI Agent ทั้งหมดได้จากที่เดียว ช่วยให้องค์กรสามารถขยายการใช้งาน AI ได้อย่างมั่นใจและเป็นไปตามข้อกำหนด (Compliance) 6. สถาปัตยกรรมแบบเปิด (Open Ecosystem) Google ยึดมั่นในหลักการของความเปิดกว้าง Gemini Enterprise จึงถูกสร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรมแบบเปิด (comprehensive and open agentic ecosystem) รองรับมาตรฐานอุตสาหกรรม และสนับสนุนโดยระบบนิเวศของพาร์ทเนอร์กว่า 100,000 ราย ซึ่งหมายความว่าองค์กรจะไม่ถูกจำกัดอยู่กับเครื่องมือของผู้ให้บริการเพียงรายเดียว แต่มีอิสระในการเลือกสรรนวัตกรรมและทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ เจาะลึกเบื้องหลังทางเทคนิค: สถาปัตยกรรมที่รองรับทุกความเป็นไปได้ สิ่งที่ทำให้ Gemini Enterprise ทรงพลัง ไม่ใช่แค่หน้าตาที่สวยงาม แต่คือสถาปัตยกรรมที่ถูกคิดมาอย่างดี ซึ่งประกอบด้วยชั้นต่างๆ ที่ทำงานประสานกัน กระบวนการเชื่อมต่อข้อมูลจากภายนอก เช่น การดึงข้อมูลและสิทธิ์การเข้าถึงจาก SharePoint จะถูกจัดการอย่างเป็นระบบ โดยข้อมูลจะถูกแปลงเป็น Vector Embeddings และจัดเก็บใน Vector Store ซึ่งช่วยให้การค้นหาและเรียกใช้ข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยยังคงเคารพสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล (Permission) เดิมของผู้ใช้เสมอ นอกจากนี้ เพื่อตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยขององค์กรขนาดใหญ่ Gemini Enterprise ยังรองรับ ระบบยืนยันตัวตน (Authentication) ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Single Sign-On ( SSO): เพื่อประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นและปลอดภัย เชื่อมโยงกับเทรนด์: ก้าวสู่ยุค “Agentic AI” อย่างเต็มตัว การเปิดตัว Gemini Enterprise ไม่ใช่เพียงการอัปเดตผลิตภัณฑ์ แต่คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ยุคต่อไปของ AI ในที่ทำงานคือยุค “Agentic AI” อย่างแท้จริง ถ้าเปรียบ AI แบบดั้งเดิมเป็นเหมือนเครื่องมือช่างเฉพาะทาง เช่น สว่านหรือเลื่อยไฟฟ้าที่ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมเพียงอย่างเดียว “Agentic AI” ก็เปรียบเสมือน “หัวหน้าช่าง” อัจฉริยะ ที่ไม่เพียงใช้เครื่องมือทุกชิ้นเป็น แต่ยังสามารถวางแผน, จัดลำดับงาน, และบริหารจัดการโปรเจกต์การก่อสร้างที่ซับซ้อนทั้งโครงการได้ด้วยตัวเอง นี่คือการเปลี่ยนผ่านจากการใช้ AI เพื่อทำงานย่อยๆ (single tasks) ไปสู่การมอบหมายให้ AI จัดการ “กระบวนการที่ซับซ้อน” (complex workflows) ทั้งหมดแทนเรา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงกระบวนทัศน์นี้สอดรับกับเทรนด์การทำงานแห่งอนาคตอย่างสมบูรณ์แบบ 1. ขับเคลื่อน Hybrid Work ที่ไร้รอยต่อยิ่งขึ้น: การทำงานแบบไฮบริดสร้างความท้าทายในการประสานงานข้ามสถานที่และโซนเวลา Agentic AI เข้ามาแก้ปัญหานี้โดยตรง พนักงานสามารถมอบหมายให้ Agent ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานอัตโนมัติ เช่น “ช่วยสรุปความคืบหน้าของโปรเจกต์ X จากทีม A ในเอเชียและทีม B ในยุโรป แล้วร่างอีเมลอัปเดตส่งให้ผู้บริหารภายใน 9 โมงเช้าพรุ่งนี้” Agent จะเข้าไปดึงข้อมูลจาก Slack, อัปเดตสถานะใน Asana, แล้วร่างอีเมลใน Gmail โดยอัตโนมัติ ลดภาระการประชุมที่ไม่จำเป็นและทำให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพสูงสุด 2. เร่งสปีด Digital Transformation อย่างแท้จริง: หลายองค์กรติดกับดัก Digital Transformation ที่ทำได้เพียงแปลงกระบวนการเดิมๆ เป็นดิจิทัล แต่ Agentic AI ช่วยให้องค์กรสามารถ “คิดใหม่ทำใหม่” (reimagine) กับ workflow ทั้งหมดได้ ตัวอย่างเช่น กระบวนการ Onboarding พนักงานใหม่ที่เคยใช้เวลาเป็นสัปดาห์ สามารถย่อลงเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยให้ Agent จัดการทุกอย่างตั้งแต่การสร้างบัญชีผู้ใช้ในระบบต่างๆ, การส่งเอกสารที่จำเป็น, ไปจนถึงการจัดตารางอบรมเบื้องต้นกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 3. ปลดปล่อยพลังของ “Democratization of AI”: การมาถึงของเครื่องมือสร้าง Agent แบบ No-code คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุด มันทำลายกำแพงทางเทคนิคและมอบอำนาจให้แก่พนักงานทุกคน เมื่อนักวิเคราะห์การเงินสามารถสร้าง Agent ส่วนตัวเพื่อเฝ้าระวังความผิดปกติในตลาด, หรือผู้จัดการฝ่ายบริการลูกค้าสามารถสร้าง Agent เพื่อวิเคราะห์เสียงของลูกค้าจากทุกช่องทางและแจ้งเตือนปัญหาเร่งด่วนได้เอง นวัตกรรมก็ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในฝ่าย IT อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนจากทุกคนในองค์กร AI จึงไม่ใช่ “เครื่องมือ” ที่น่ากลัว แต่เป็น “ทักษะ” ใหม่ที่พนักงานทุกคนสามารถเรียนรู้และนำไปสร้างสรรค์คุณค่าให้แก่องค์กรได้อย่างไร้ขีดจำกัด Gemini Enterprise คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบของ Google ต่อปัญหา “ไซโล” ที่ฝังรากลึกและฉุดรั้งประสิทธิภาพขององค์กรมานาน นี่ไม่ใช่แค่การนำเสนอชุดเครื่องมือ AI ที่ดีขึ้น แต่เป็นการสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่ทำงานประสานกันอย่างลงตัว ด้วยองค์ประกอบหลักและสถาปัตยกรรมที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่ “สมอง” (Gemini Models) ที่ชาญฉลาดเป็นเลิศ, “กองทัพ” Agent (Taskforce) ที่พร้อมรบและปรับแต่งได้, “เครื่องมือ” สร้าง Agent (Workbench) ที่ทำให้ทุกคนเป็นนักพัฒนาได้, และ “การเชื่อมต่อ” (Context) ที่ไร้พรมแดน ทำให้ข้อมูลและระบบต่างๆ ทั่วทั้งองค์กรสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่ได้คือ การปลดล็อกศักยภาพของพนักงานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มันคือการเปลี่ยนบทบาทของพนักงานจากการเป็นผู้ลงมือทำงานซ้ำซากที่น่าเบื่อหน่าย ไปสู่การเป็น “ผู้ควบคุม” หรือ “วาทยกร” (Orchestrator) ที่คอยกำกับดูแลกองทัพ AI Agent ให้ทำงานแทน ความรู้และประสบการณ์ของพวกเขาจะถูกใช้ไปกับการวางกลยุทธ์, การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน, และการตัดสินใจที่ต้องอาศัยวิจารณญาณของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่จะเพิ่มผลิตภาพมหาศาล แต่ยังช่วยยกระดับความพึงพอใจในการทำงานและส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมให้เกิดขึ้นจริง เพราะพนักงานจะมีเวลาและพลังงานเหลือเฟือเพื่อโฟกัสกับงานที่สร้างสรรค์และมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างแท้จริง เริ่มต้นการเดินทางสู่ Agentic AI ของคุณ Gemini Enterprise พร้อมให้บริการแล้วทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย องค์กรที่สนใจก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ และปลดล็อกประสิทธิภาพการทำงานยุคใหม่ด้วย Agentic AI สามารถติดต่อทีมงาน Google Cloud หรือพาร์ทเนอร์ที่ท่านไว้วางใจ เพื่อขอรับการสาธิต (Demo) หรือพูดคุยเกี่ยวกับ Use Case ที่เหมาะสมกับองค์กรของคุณได้แล้ววันนี้ นอกจากแพลตฟอร์มที่ทรงพลัง Google Cloud ยังได้เตรียมเครื่องมือและโปรแกรมอัปสกิล (Upskilling) อีกมากมาย เพื่อให้แน่ใจว่าทุกองค์กรจะสามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากยุค Agentic AI ได้อย่างสำเร็จและยั่งยืน
Work Smarter สร้างระบบอัตโนมัติอัจฉริยะด้วย Google Workspace Flows
ในโลกธุรกิจปัจจุบันที่การแข่งขันสูงและความเร็วเป็นสิ่งสำคัญ องค์กรต่างๆ กำลังมองหาวิธีที่จะ เพิ่มประสิทธิภาพ ลดงานซ้ำซ้อน และ ยกระดับการตัดสินใจ ให้ชาญฉลาดยิ่งขึ้น คุณเคยประสบปัญหาการทำงานข้ามแอปพลิเคชันที่ใช้เวลามากและเกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายหรือไม่? หรือต้องการระบบที่ช่วยจัดการงานประจำวันให้คุณโดยอัตโนมัติ? Google เข้าใจถึงความท้าทายเหล่านี้ และได้เปิดตัวโซลูชันที่จะมาพลิกโฉมวิธีการทำงานของคุณ: Google Workspace Flows เครื่องมือใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของ Gemini AI ซึ่งจะช่วยให้คุณสร้างระบบอัตโนมัติที่ไร้รอยต่อภายใน Google Workspace ได้อย่างง่ายดาย Google Workspace Flows คืออะไร ทำงานอย่างไร และจะช่วยแก้ปัญหา รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้กับองค์กรของคุณได้อย่างไรบ้าง Google Workspace Flows: ตัวช่วยอัจฉริยะที่จะเปลี่ยนงานซ้ำซากให้เป็นระบบอัตโนมัติ Google Workspace Flows ได้รับการเปิดตัวในงาน Google Next 2025 โดยมีเป้าหมายหลักคือการ เชื่อมโยงแอปพลิคชันต่างๆ ใน Google Workspace เข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด ด้วยพลังของ Gemini AI ไม่ว่าจะเป็น Gmail, Google Drive, Google Calendar, Google Chat และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อให้งานที่เคยต้องทำด้วยตัวเองซ้ำๆ กลายเป็นระบบอัตโนมัติที่ทำงานได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยภายในโดเมน Google Workspace ของคุณเอง หัวใจสำคัญของ Flows คือการเป็น โซลูชันแบบ No-Code ที่ใครๆ ก็สามารถใช้งานได้ง่าย อินเทอร์เฟซได้รับการออกแบบมาให้คล้ายกับการสนทนากับบอท AI ซึ่งหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด (Apps Script, AppSheet หรือ Cloud Project) ก็สามารถสร้างเวิร์กโฟล์วที่ซับซ้อนเพื่อลดขั้นตอนที่ต้องทำซ้ำๆ ได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น การจัดการการอนุมัติ, การสร้างรายงาน, หรือการกำจัดกระบวนการที่สิ้นเปลืองเวลาทั่วทั้งองค์กร Flows แตกต่างจากเครื่องมืออื่นอย่างไร? สิ่งที่ทำให้ Google Workspace Flows เหนือกว่าผู้ให้บริการระบบอัตโนมัติรายอื่น เช่น Zapier หรือ Make คือ ความสามารถในการใช้บริบทและการใช้ Gems ซึ่งเป็นเอเจนต์ AI ที่สามารถปรับแต่งได้ โดยใช้ข้อมูลและบริบทจากเอกสารขององค์กรของคุณ (เช่น นโยบาย หรือขั้นตอนปฏิบัติ) เพื่อจัดการคำขอเฉพาะทางได้อย่างชาญฉลาด ทำให้การทำงานอัตโนมัติไม่ได้เป็นเพียงแค่การเชื่อมต่อแอป แต่เป็นการทำงานที่ “เข้าใจ” ข้อมูลของคุณอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น แอปพลิเคชันและบริการที่รองรับในปัจจุบัน Google Workspace Flows ได้รับการออกแบบมาเพื่อการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันหลักของ Google อย่างไร้รอยต่อ และยังได้เริ่มขยายการรองรับไปยังบริการของบุคคลที่สาม (Third-party) อีกด้วย: แอปพลิเคชันหลักของ Google: การเชื่อมต่อกับบริการภายนอก (Third-party Integrations – อยู่ในช่วง Alpha): สร้าง Flows ของคุณได้อย่างง่ายดาย การสร้างเวิร์กโฟลว์ด้วย Google Workspace Flows นั้นใช้งานง่ายและเป็นธรรมชาติอย่างเหลือเชื่อ แดชบอร์ดถูกออกแบบมาให้สะอาดตาและเรียบง่าย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็ว วิธีการสร้าง Flow ตัวอย่างเวิร์กโฟล์วสำหรับการบริการลูกค้า ลองจินตนาการถึงสถานการณ์การบริการลูกค้า การจัดการข้อเสนอแนะและการออกบัตรปัญหา (Ticketing) ที่สามารถทำให้เป็นอัตโนมัติได้: ด้วยวิธีนี้ คุณจะสามารถปรับปรุงกระบวนการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็ววยิ่งขึ้น ลดภาระงานของทีมและมั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับการตอบกลับที่รวดเร็วและเป็นมืออาชีพ เชื่อมโยงกับเทรนด์เทคโนโลยี: อนาคตของการทำงานอัจฉริยะ Google Workspace Flows ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมืออัตโนมัติทั่วไป แต่เป็นการก้าวไปอีกขั้นในยุคของการทำงานแบบ Hybrid Work และ AI-powered productivity แม้ว่าในปัจจุบันจะยังอยู่ในช่วง Alpha และมีข้อจำกัดบางประการ แต่ศักยภาพในการผสานรวมอย่างลึกซึ้งกับ Gemini AI และความสามารถในการใช้ Gems แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของ Google ในการนำปัญญาประดิษฐ์มาช่วยยกระดับการทำงานให้ชาญฉลาดและปรับเปลี่ยนได้ตามบริบทจริง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการข้อมูล, การสร้างเนื้อหา, หรือการตัดสินใจที่ซับซ้อน เครื่องมือนี้ยังตอบโจทย์เทรนด์ด้าน Efficiency และ Security ด้วยการทำงานภายในโดเมน Google Workspace ที่คุณคุ้นเคยและเชื่อถือได้ ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและเพิ่มผลิตภาพได้อย่างมั่นใจ บทสรุป Google Workspace Flows นำระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาสู่ที่ที่ทีมของคุณทำงานอยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องสลับไปมาระหว่างแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มอื่น การทำงานจะเกิดขึ้นอย่างราบรื่นภายในสภาพแวดล้อมที่คุณคุ้นเคย หากองค์กรของคุณทำงานบน Gmail, Docs, Sheets, Drive และ Chat เป็นหลัก Flows คือเส้นทางที่เร็วที่สุดในการลดชั่วโมงการทำงานซ้ำซ้อนโดยไม่ต้องให้ทุกคนเรียนรู้เครื่องมือใหม่อีกต่อไป ลองนึกภาพกระบวนการรับลูกค้าใหม่: จากเดิมที่ต้องสร้างโฟลเดอร์ใน Drive, คัดลอกเทมเพลตเอกสาร, สร้างกิจกรรมใน Calendar, และส่งข้อความต้อนรับใน Chat ด้วยตนเอง ทั้งหมดนี้สามารถรวมเป็น Flow เดียวที่เริ่มต้นทำงานอัตโนมัติทันทีที่ได้รับอีเมลยืนยันจากลูกค้า เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรเริ่มต้นด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ เช่น “ลดเวลาในการประมวลผลใบแจ้งหนี้ลง 50%” แทนที่จะเป็นเป้าหมายกว้างๆ จากนั้น สร้าง prompt ที่กระชับและตรงไปตรงมาสำหรับขั้นตอน AI เพื่อให้ Gemini สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำ สำหรับกระบวนการที่ละเอียดอ่อน เช่น การส่งข้อเสนอราคา ควรเพิ่มขั้นตอนการตรวจสอบโดยมนุษย์ (human-in-the-loop) โดยให้ Flow สร้างอีเมลฉบับร่างแล้วส่งแจ้งเตือนให้ผู้รับผิดชอบตรวจสอบก่อนส่งจริงเสมอ และที่สำคัญคือการวัดผลก่อนและหลังการใช้งาน บันทึกชั่วโมงที่ประหยัดได้เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่จับต้องได้ของการลงทุนในระบบอัตโนมัติ ในเวลาไม่นาน องค์กรของคุณจะมีคลัง Flow ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ เวิร์กโฟล์วที่สร้างขึ้นสำหรับแผนกหนึ่งสามารถถูกคัดลอกและดัดแปลงเพื่อใช้กับอีกแผนกหนึ่งได้ง่ายดาย คลังความรู้นี้จะกลายเป็นสินทรัพย์อันทรงคุณค่าที่ช่วยให้ทุกคนในทีมสามารถสร้างนวัตกรรมและปรับปรุงกระบวนการได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างเงียบๆ แต่ยั่งยืน คำถามที่พบบ่อย (FAQ): Google Workspace Flows สนใจที่จะพลิกโฉมวิธีการทำงานขององค์กรคุณด้วย Google Workspace Flows และ Gemini AI ใช่หรือไม่?
นโยบายใหม่ Google ลบบัญชี ข้อมูล และกิจกรรมทั้งหมด หากไม่มีการใช้งาน 2 ปี
เราทุกคนต่างมีบัญชี Google มากกว่าหนึ่งบัญชี ไม่ว่าจะเป็นบัญชีหลักสำหรับ Gmail, บัญชีสำหรับเก็บไฟล์ใน Google Drive, บัญชีสำหรับ YouTube หรือบัญชีสำรองที่สมัครไว้เล่นๆ เมื่อหลายปีก่อน ปัญหาคือ เรามักจะ “ลืม” บัญชีเหล่านั้น และสันนิษฐานว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป แต่ความจริงคือ บัญชีที่ถูกทิ้งร้างเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ 2 ประการ: Google จึงออกมาตรการ “แก้ปัญหา” นี้ด้วย นโยบายบัญชีที่ไม่มีการใช้งาน (Inactive Account Policy) ซึ่งระบุว่าบัญชีส่วนบุคคลที่ไม่มีการใช้งานเลยเป็นเวลา 2 ปี อาจถูกลบทั้งบัญชีและข้อมูลทั้งหมด บทความนี้จะเจาะลึกว่านิยามของ “การใช้งาน” ที่แท้จริงคืออะไร นโยบายนี้แตกต่างกันอย่างไรระหว่างบัญชีส่วนตัวและบัญชีองค์กรการศึกษา (GWE) และคุณต้องทำอย่างไรเพื่อป้องกันปัญหานี้ นโยบายนี้ส่งผลกับคุณอย่างไร? นโยบายนี้แบ่งการพิจารณาออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ซึ่งมีรายละเอียดและวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ 1. บัญชีส่วนบุคคล (@gmail.com): แค่ล็อกอินอาจไม่พอ! นี่คือจุดที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดมากที่สุด ปัญหาคือ หลายคนคิดว่า “แค่ล็อกอินทิ้งไว้ปีละครั้งก็รอดแล้ว” แต่ความจริงไม่ใช่ครับ ฟีเจอร์/นโยบาย: Google นิยามคำว่า “การใช้งาน” (Active Status) ว่าเป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ขณะที่คุณลงชื่อเข้าใช้: การแก้ปัญหา: ประเด็นสำคัญคือ Google ต้องการเห็น “ความตั้งใจในการใช้งาน” ไม่ใช่แค่การล็อกอินอัตโนมัติ ข้อควรระวังสำคัญ (ปัญหาที่พบบ่อย): และไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลบแบบไม่รู้ตัว Google จะส่งการแจ้งเตือนหลายครั้งไปยังอีเมลหลักและ “อีเมลสำรองสำหรับการกู้คืน (Recovery Email)” ก่อนดำเนินการใดๆ ครับ 2. บัญชีองค์กร (Google Workspace for Education): ความเสี่ยงที่ Admin ต้องรู้ สำหรับภาคการศึกษา ปัญหานี้มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก หากจัดการไม่ดี ฟีเจอร์/นโยบาย: ความเสี่ยงสูงสุดของบัญชี GWE คือ หาก “ทั้งผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ (Admin) ทุกคน” ในองค์กรไม่มีการใช้งานบัญชีเป็นเวลา 2 ปี Google อาจพิจารณาลบข้อมูลของ “ทั้งองค์กร” (Entire Organization) ทิ้งทั้งหมด การแก้ปัญหา (สำหรับ Admin): ปัญหานี้มักเกิดกับบัญชีของนักเรียน/นักศึกษาที่จบไปแล้ว Google เข้าใจปัญหานี้ดี จึงมีเครื่องมือสำหรับ Admin เพื่อ “แก้ปัญหา” การจัดการบัญชีเหล่านี้โดยไม่ต้องลบทิ้ง: เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ Admin สามารถบริหารจัดการบัญชีจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบาย และรักษาข้อมูลสำคัญของศิษย์เก่าไว้ได้ครับ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องพื้นที่ แต่คือ “Digital Hygiene & Security” หลายคนอาจมองว่านโยบายนี้เป็นแค่การ “ประหยัดพื้นที่เซิร์ฟเวอร์” ของ Google แต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่านี่คือการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับเทรนด์เทคโนโลยีที่ใหญ่กว่านั้นมากครับ นโยบายนี้จึงเป็นการ “แก้ปัญหา” ด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยดิจิทัลในภาพรวมครับ จาก “ความกังวล” สู่ “การควบคุม” นโยบายบัญชีที่ไม่มีการใช้งานของ Google ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อสร้างความลำบากให้ผู้ใช้ แต่ถูกออกแบบมาเพื่อ “แก้ปัญหา” ด้านความปลอดภัยและบริหารจัดการทรัพยากรในยุคดิจิทัล การทำความเข้าใจนิยามของ “การใช้งาน” ที่แท้จริง และการใช้เครื่องมือที่ Google มอบให้ (โดยเฉพาะสำหรับ Admin) จะเปลี่ยนความกังวลของคุณให้กลายเป็นการควบคุมบัญชีและข้อมูลของคุณได้อย่างเต็มที่ 3 ขั้นตอนที่คุณควรทำวันนี้ อย่ารอให้ได้รับอีเมลแจ้งเตือน! นี่คือ 3 ขั้นตอนง่ายๆ ที่คุณควรทำทันทีเพื่อแก้ปัญหานี้: สำหรับผู้ดูแลระบบ Google Workspace for Education: คุณมีบัญชี Google ที่ไม่ได้ใช้มานานแค่ไหนแล้ว? หรือมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายนี้? ร่วมแสดงความคิดเห็นด้านล่างได้เลยครับ!
พลิกโฉมการศึกษาไทยด้วย Chromebook อุปกรณ์ที่จัดการง่าย ปลอดภัย และสร้างมาเพื่อการเรียนรู้
การปรับเปลี่ยนห้องเรียนให้ทันสมัยเป็นความท้าทายสำคัญของสถานศึกษาไทย คุณต้องการเครื่องมือที่ตอบโจทย์การเรียนรู้ ง่ายต่อการจัดการ และปลอดภัย Chromebook ซึ่งทำงานร่วมกับ Google for Education และ Gemini คือคำตอบสำหรับความต้องการนี้ Chromebook ทำงานบนระบบปฏิบัติการ ChromeOS ของ Google ระบบนี้ทำงานบนคลาวด์เป็นหลัก ทำให้เปิดเครื่องได้เร็วและปลอดภัย เมื่อใช้ร่วมกับ Google Workspace for Education คุณจะสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ดิจิทัลที่ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น จุดเด่นของ Chromebook สำหรับสถานศึกษา 1. การจัดการที่ง่าย คุณสามารถบริหารจัดการอุปกรณ์ Chromebook ทั้งหมดได้จาก Google Admin Console ซึ่งเป็นระบบคลาวด์ส่วนกลาง คุณสามารถติดตั้งแอปพลิเคชันหรือกำหนดนโยบายความปลอดภัยได้พร้อมกันทุกเครื่อง การทำงานลักษณะนี้ช่วยลดเวลาที่ฝ่ายไอทีใช้ในการจัดการและติดตั้งลงได้ 2. ความปลอดภัยสูง Chromebook มีระบบป้องกันไวรัสในตัวและอัปเดตความปลอดภัยอัตโนมัติ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีรายงานการโจมตีจากแรนซัมแวร์ที่สำเร็จบนอุปกรณ์ Chromebook คุณจึงมั่นใจได้ว่าข้อมูลของสถานศึกษาและนักเรียนจะปลอดภัย 3. ความคุ้มค่าในระยะยาว Chromebook ช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายโดยรวมได้ถึง 50% ต่อเครื่อง นอกจากนี้ Google ยังอัปเดตระบบความปลอดภัยนานสูงสุดถึง 10 ปี ทำให้อุปกรณ์หนึ่งเครื่องใช้งานได้ยาวนานและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์ใหม่ 4. การเรียนรู้ได้ทุกที่ นักเรียนและครูสามารถทำงานแบบออฟไลน์ได้ พวกเขาสามารถเข้าถึงเอกสาร สเปรดชีต และอีเมลได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ทำให้การเรียนรู้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เสริมศักยภาพการเรียนรู้ด้วย Google AI และ Gemini Chromebook ได้ผสานการทำงานของ AI เข้ามาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปี ปัจจุบันคุณสามารถใช้ Gemini ผู้ช่วย AI อัจฉริยะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้แก่ทุกคนในสถานศึกษาได้ Gemini for Education เป็นบริการที่ปลอดภัยภายใต้ข้อตกลง Workspace for Education การสนทนาของคุณจะไม่ถูกตรวจสอบโดยมนุษย์ หรือนำไปใช้พัฒนาระบบ AI กรณีศึกษาความสำเร็จในประเทศไทย เทคโนโลยีนี้ได้พิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วในสถานศึกษาหลายแห่งทั่วไทย Chromebook คือเครื่องมือเชิงกลยุทธ์สำหรับสถานศึกษาไทย คุณสมบัติที่จัดการง่าย ปลอดภัย คุ้มค่า และความสามารถของ AI จาก Gemini จะช่วยให้คุณสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตได้ดียิ่งขึ้น ดาวน์โหลดเอกสาร
ยกระดับประสิทธิภาพการทำงานด้วย Gemini Gems คู่มือสร้างผู้ช่วย AI ส่วนตัวฉบับสมบูรณ์
ในยุคดิจิทัลที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำงาน การสร้างปฏิสัมพันธ์กับ AI ให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการอย่างสม่ำเสมอถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง หลายครั้งผู้ใช้งานต้องเสียเวลาไปกับการป้อนคำสั่ง (Prompt) เดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ Gemini ซึ่งเป็นแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (LLM) จาก Google ได้นำเสนอโซลูชันที่ทรงพลังเพื่อแก้ไขปัญหานี้ด้วยฟีเจอร์ที่เรียกว่า “Gemini Gems” ซึ่งเปรียบเสมือนการสร้างผู้ช่วย AI ส่วนตัวที่ได้รับการตั้งค่าไว้ล่วงหน้า ทำให้สามารถเรียกใช้งานตามภารกิจที่กำหนดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ บทความนี้จะแนะนำขั้นตอนการสร้างและปรับแต่ง Gem อย่างละเอียด เพื่อให้องค์กรและบุคลากรสามารถนำไปประยุกต์ใช้ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ขั้นตอนการสร้าง Gemini Gem การเริ่มต้นสร้าง Gem นั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดายผ่านเว็บแอปพลิเคชันของ Gemini โดยมีขั้นตอนดังนี้ หัวใจสำคัญ: การออกแบบชุดคำสั่ง (Instructions) ที่มีประสิทธิภาพ องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการสร้าง Gem คือการเขียน “คำสั่ง” (Instructions) ที่ชัดเจน ละเอียด และครอบคลุม ซึ่งจะเป็นการกำหนด “สมอง” และ “พฤติกรรม” ทั้งหมดให้กับ AI ของคุณ โดย Google ได้แนะนำองค์ประกอบหลัก 4 ส่วนที่ควรมีในชุดคำสั่ง เพื่อให้ Gem ทำงานได้อย่างแม่นยำและตรงตามวัตถุประสงค์มากที่สุด เครื่องมือเสริมเพื่อความสมบูรณ์แบบ นอกเหนือจากการเขียนคำสั่งด้วยตนเอง Gemini ยังมีเครื่องมือช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม ได้แก่ ตัวอย่างคำสั่ง (Instructions) สำหรับ Gemini Gems 1. Gem ผู้ช่วยเขียนสรุปโครงการ: “Project Summarizer” เป้าหมาย: สร้างผู้ช่วยสำหรับเขียนสรุปรายงานโครงการอย่างมืออาชีพ เพื่อใช้ในการนำเสนอหรือรายงานความคืบหน้า ชุดคำสั่ง (Instructions): Persona (ลักษณะตัวตน): “คุณคือผู้จัดการโครงการ (Project Manager) ที่มีประสบการณ์สูง มีทักษะในการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม สามารถสรุปข้อมูลโครงการที่กระจัดกระจายให้กลายเป็นรายงานที่กระชับ ชัดเจน และตรงประเด็น” Task (ภารกิจ): “เมื่อได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ (เช่น รายละเอียดงาน, ความคืบหน้า, ปัญหาที่พบ, ผลลัพธ์) หน้าที่ของคุณคือการนำข้อมูลทั้งหมดมาสังเคราะห์และเขียนเป็นบทสรุปสำหรับผู้บริหาร (Executive Summary) โดยจะต้องครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้: Context (บริบท): “รายงานสรุปนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอต่อผู้บริหารหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ไม่ค่อยมีเวลา ดังนั้นจึงต้องเน้นความกระชับและเข้าใจง่าย สามารถอ่านจบได้ในเวลาไม่กี่นาที” Format (รูปแบบผลลัพธ์): “โปรดสร้างบทสรุปโครงการตามโครงสร้างนี้: 2. Gem เพื่อนซี้แปลภาษา: “Gen Z Translator” เป้าหมาย: สร้างเพื่อน AI สุดเฟี้ยวที่ช่วยแปลภาษาต่างประเทศให้เป็นภาษาไทยในสไตล์ Gen Z ที่มีความเป็นกันเอง สนุกสนาน และใช้คำศัพท์ที่ทันสมัย ชุดคำสั่ง (Instructions): Persona (ลักษณะตัวตน): “แกคือเพื่อนซี้ของชั้น เป็นตัวแทนชาว Gen Z ที่เก่งเรื่องภาษามาก ๆ เวลาคุยกันคือต้องใช้ภาษาแบบเป็นกันเองสุด ๆ ใช้มีมได้ ใช้ศัพท์ฮิต ๆ ได้เลยนะ ฟีลเหมือนเพื่อนสนิทคุยกัน ไม่เอาแบบทางการจ๋าาาา” Task (ภารกิจ): “เวลามีคนส่งข้อความภาษาอื่นมาให้แกแปล หน้าที่ของแกคือ: Context (บริบท): “คนใช้คือเพื่อนแกเองนี่แหละ! เราคุยกันแบบชิล ๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรทั้งนั้น เป้าหมายคืออยากเข้าใจความหมายของประโยคนั้น ๆ แบบเร็ว ๆ และได้อารมณ์เหมือนเจ้าของภาษามาเอง” Format (รูปแบบผลลัพธ์): “จัดมาเลยแบบนี้: ตัวอย่างการใช้งาน: ถ้าผู้ใช้ส่งประโยค: “The new cafe in Siam is so aesthetic, the vibes are immaculate.” Gem “Gen Z Translator” จะตอบว่า: การทดสอบและบันทึกการใช้งาน หลังจากกำหนดค่าและเขียนชุดคำสั่งทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ควรทำการทดสอบการทำงานของ Gem ในหน้าต่าง “แสดงตัวอย่าง” (Preview) เพื่อประเมินผลลัพธ์และปรับแก้ชุดคำสั่งจนกว่าจะพึงพอใจ เมื่อได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการแล้ว ให้คลิก “บันทึก” (Save) เพื่อจัดเก็บ Gem ไว้สำหรับเรียกใช้งานในอนาคต การลงทุนเวลาในการสร้าง Gemini Gems ที่มีประสิทธิภาพในวันนี้ จะช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความสม่ำเสมอในการทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมหาศาลในระยะยาว ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรของคุณให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ไขข้อข้องใจ Google Agentspace ผู้ช่วย AI ที่ไม่ได้แค่ ‘ช่วย’ แต่ ‘ลงมือทำ’ เพื่อธุรกิจของคุณ
ในยุคที่ข้อมูลขององค์กรกระจัดกระจายอยู่ตามแอปพลิเคชันและระบบต่างๆ นับร้อย พนักงานต้องเสียเวลาไปกับการสลับหน้าจอ ค้นหาข้อมูลที่ไม่เคยเจอ และทำงานซ้ำๆ ที่น่าเบื่อหน่าย ปัญหาเหล่านี้คืออุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งศักยภาพขององค์กร วันนี้ Google ได้เปิดตัวโซลูชันที่จะมาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานไปตลอดกาล นั่นคือ Google Agentspace แพลตฟอร์ม AI Agent อัจฉริยะที่ไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วยตอบคำถาม แต่เป็น “ผู้ลงมือทำ” (AI that acts) ที่สามารถคิด วางแผน และทำงานที่ซับซ้อนให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยตัวเอง บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของ Agentspace ว่าคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และจะเข้ามาปลดล็อกศักยภาพองค์กรของคุณได้อย่างไร Google Agentspace คืออะไร? ทำไมถึงแตกต่างจาก AI ทั่วไป หากเปรียบ AI ทั่วไปเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่รอรับคำสั่ง Google Agentspace ก็เปรียบเสมือนพนักงานผู้เชี่ยวชาญที่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จได้ตั้งแต่ต้นจนจบ Google Agentspace คือแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์แบบบริการ (SaaS) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อปลดล็อกองค์ความรู้ทั้งหมดขององค์กร โดยผสานรวม 3 พลังหลักเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่: ความแตกต่างสำคัญของ AI Agent ใน Agentspace คือ ความสามารถในการทำงานอย่างเป็นอิสระ (Autonomous) มันสามารถวิเคราะห์เป้าหมายที่ซับซ้อน แยกย่อยออกมาเป็นงานเล็กๆ ค้นหาข้อมูลที่จำเป็น เลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม และลงมือทำจนสำเร็จ โดยเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานไปพร้อมกัน ทำไม Agentspace จึงถือกำเนิดขึ้น? จาก “ผู้ช่วย” สู่ “ผู้ลงมือทำ” Google พัฒนา Agentspace ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา “ความกระจัดกระจาย” (Fragmentation) ที่องค์กรส่วนใหญ่กำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่อยู่คนละที่ ระบบงานที่แยกส่วน หรือการที่พนักงานต้องสลับใช้แอปพลิเคชันเฉลี่ย 4-6 ตัวเพื่อหาข้อมูลเพียงเรื่องเดียว Agentspace คือก้าวสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจาก AI ที่เป็นเพียงผู้ช่วย (AI that assists) ไปสู่ AI ที่สามารถลงมือทำและขับเคลื่อนธุรกิจได้จริง (AI that acts) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “พนักงานดิจิทัล” ที่สามารถทำงานร่วมกับพนักงานมนุษย์ได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อนและเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ทำงานเชิงกลยุทธ์ที่สร้างคุณค่าได้มากขึ้น หัวใจหลักของประสบการณ์ ค้นหา (Find), ทำความเข้าใจ (Understand), และลงมือทำ (Act) Agentspace มอบประสบการณ์การใช้งานที่ครอบคลุม 3 ขั้นตอนสำคัญ สร้าง AI Agent ของคุณเอง จากสำเร็จรูปสู่การปรับแต่งเต็มรูปแบบ Agentspace ถูกออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นสูง เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกันของแต่ละองค์กร ปลดล็อกศักยภาพในทุกแผนก กรณีการใช้งานจริง ความปลอดภัยระดับองค์กร สิ่งที่ Google ให้ความสำคัญสูงสุด สำหรับองค์กร ความปลอดภัยของข้อมูลคือหัวใจสำคัญ และ Agentspace ถูกสร้างขึ้นบนโครงสร้างพื้นฐานของ Google Cloud ที่ได้รับการยอมรับด้านความปลอดภัยในระดับโลก จะเริ่มต้นใช้งาน Google Agentspace ได้อย่างไร? ปัจจุบัน Google Agentspace เปิดให้ใช้งานในวงจำกัด (Allowlist-only) องค์กรที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อขอสิทธิ์การเข้าถึง หรือติดต่อตัวแทนของ Google Cloud ได้โดยตรง โดยรูปแบบการจำหน่ายจะเป็นลักษณะของใบอนุญาตต่อผู้ใช้ต่อเดือน (per user per month license) Google Agentspace ไม่ใช่แค่เครื่องมือ AI ตัวใหม่ แต่คือการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในการทำงาน ที่จะช่วยทลายกำแพงของความกระจัดกระจาย เปลี่ยนงานที่ซับซ้อนและน่าเบื่อให้เป็นอัตโนมัติ และปลดปล่อยให้พนักงานของคุณได้ใช้เวลาและความคิดสร้างสรรค์ไปกับงานที่สำคัญอย่างแท้จริง มันคืออนาคตของการทำงานในองค์กร ที่ซึ่ง AI ไม่ได้อยู่แค่ข้างๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของคุณให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
Google I/O 2025: AI พลิกโลก! สุดเจ๋งที่คนทำงานต้องรู้!
งาน Google I/O 2025 ที่เพิ่งปิดฉากไป ได้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Google ในการผลักดันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น โดยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อวิธีการทำงาน การดำเนินธุรกิจ และชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือการอัปเดต AI สำคัญที่คนทำงานและผู้ประกอบการต้องจับตามองและเตรียมพร้อมรับมือครับ Google AI Ultra แพ็กเกจ AI ครบวงจรสู่ความเป็นเลิศ Google ได้เปิดตัว “Google AI Ultra” แพ็กเกจบริการ AI ระดับพรีเมียม ที่รวมโมเดล AI และฟีเจอร์ชั้นนำทั้งหมดของ Google ไว้ในที่เดียว ทาง Google นิยามว่าเป็น “ตั๋วสู่อนาคต” แพ็กเกจนี้สนนราคาสำหรับสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ $249.99 (ประมาณ 8,100 บาท) ต่อเดือน ส่วนในประเทศไทยคาดว่าจะอยู่ที่ 9,400 บาทต่อเดือน (หรือ 112,800 บาทต่อปี) ซึ่งนับเป็นหนึ่งในแพ็กเกจ AI ที่มีราคาสูงที่สุดในตลาดขณะนี้ ผู้ใช้ Google AI Ultra จะได้รับความสามารถระดับสูง เช่น การใช้งาน AI อย่างกว้างขวาง, ฟีเจอร์ Deep Think ที่ช่วยให้ AI วิเคราะห์ข้อมูลได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น, และเข้าถึงโมเดล AI ล่าสุดอย่าง Veo 3, Flow, และ Imagen 4 รวมถึงสิทธิ์การใช้งาน Google Workspace ฟีเจอร์พรีเมียม, YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ถึง 30 TB Google AI Ultra เริ่มให้บริการแล้วในสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศไทยคาดว่าจะเปิดให้สมัครในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า Gemini AI Pro แพลนเดิม อัดแน่นฟีเจอร์ใหม่เพื่อคนทำงาน แพ็กเกจ Google One หรือ Gemini Advanced เดิม ได้รับการรีแบรนด์เป็น “Gemini AI Pro” ในราคาเดิมที่ $19.99 (ประมาณ 750 บาท) ต่อเดือน ทำให้เป็นแพ็กเกจที่คนทำงานทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น พร้อมด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเสริมประสิทธิภาพการทำงาน เช่น Gemini App, Flow, Veo 2, NotebookLM, และ Gemini in Chrome นอกจากนี้ยังมีการอัปเกรด Imagen 4 โมเดลสร้างรูปภาพให้มีความละเอียดคมชัดสูงขึ้น และสร้างข้อความในภาพได้แม่นยำ เหมาะสำหรับการสร้างภาพประกอบบทความ แบนเนอร์โฆษณา หรือรูปสินค้า ฟีเจอร์ Deep Research ได้รับการยกระดับให้ผู้ใช้สามารถอัปโหลดไฟล์ส่วนตัว เช่น PDF หรือรูปภาพ เพื่อให้ AI นำไปวิเคราะห์ประกอบการทำรายงานเชิงลึกได้ ช่วยสรุปข้อมูลจากเอกสารจำนวนมาก หรือดึงข้อมูลสำคัญจากอีเมลเพื่อประกอบการวางแผนธุรกิจ Canvas พื้นที่ทำงานสร้างสรรค์ก็ได้รับการปรับปรุง ให้สามารถสร้างคอนเทนต์แบบโต้ตอบ เช่น แบบทดสอบ อินโฟกราฟิก หรือสรุปเสียงสั้นๆ และยังสามารถแปลงคำสั่งเป็นโค้ดได้ ส่วน Gemini 2.5 Pro รองรับ Context Window ได้สูงสุดถึง 1 ล้านโทเค็น ทำให้สามารถประมวลผลข้อความ объемом เทียบเท่า 1,500 หน้า หรือโค้ด 30,000 บรรทัดพร้อมกัน เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการอัปโหลดโค้ดทั้งชุดเพื่อวิเคราะห์ แก้ไข หรือปรับปรุง Veo 3 และ Flow ปฏิวัติการสร้างสรรค์งานวิดีโอ Google เปิดตัว Veo 3 โมเดลสร้างวิดีโอขั้นสูงล่าสุด ที่มาพร้อมความสามารถในการสร้างเสียงประกอบเพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับวิดีโอ ควบคู่กันนั้น Flow คือเครื่องมือสร้างภาพยนตร์ด้วย AI ที่ออกแบบมาสำหรับโมเดลขั้นสูงของ Google (รวมถึง Veo, Imagen และ Gemini) ช่วยให้การสร้างคลิปวิดีโอและฉากที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่าย มีฟีเจอร์แนะนำ Prompt ที่เข้าใจง่าย ควบคุมมุมกล้องได้ละเอียด และ Scenebuilder สำหรับแก้ไขและต่อเติมฉากต่างๆ ให้มีความต่อเนื่องและสมจริง เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้นักการตลาด แบรนด์ และครีเอเตอร์สามารถผลิตโฆษณาสั้น คลิปโปรโมต หรือแม้แต่ภาพยนตร์โฆษณาขนาดย่อมได้โดยไม่ต้องพึ่งพาทีมโปรดักชันขนาดใหญ่อีกต่อไป ฟีเจอร์นี้จะเปิดให้ผู้ใช้ Google AI Pro และ Google AI Ultra Plan ในสหรัฐอเมริกาทดลองใช้งานก่อน โดยผู้ใช้ AI Pro จะได้ใช้งานฟีเจอร์หลักของ Flow พร้อมจำนวนการสร้าง 100 ครั้งต่อเดือน ส่วนผู้ใช้ Ultra จะได้รับสิทธิ์การใช้งานที่สูงขึ้น และเข้าถึง Veo 3 พร้อมความสามารถในการสร้างเสียงได้ก่อน Google Meet แปลภาษาแบบเรียลไทม์ ทลายกำแพงการสื่อสาร การประชุมระดับนานาชาติจะสะดวกยิ่งขึ้น เมื่อ Google Meet เพิ่มความสามารถในการแปลภาษาแบบเรียลไทม์ เทคโนโลยีนี้สามารถจับคู่เสียง โทน และการแสดงออกของผู้พูดได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดอุปสรรคด้านภาษาในการประชุมกับพันธมิตรต่างชาติ ทำให้การเจรจาธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น การแปลภาษา “อังกฤษ-สเปน” กำลังเปิดให้ทดลองใช้งานในเวอร์ชันเบต้าสำหรับผู้สมัคร Google AI Pro และ Ultra และจะมีภาษาอื่นๆ ทยอยเพิ่มเข้ามาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ก่อนจะเปิดให้ลูกค้า Google Workspace Business ทดลองใช้งานในช่วงต้นปีหน้า Google Beam ยกระดับการสื่อสารจาก 2 มิติ สู่ประสบการณ์ 3 มิติ Google Beam คือแพลตฟอร์มการสื่อสารผ่านวิดีโอที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งสามารถแปลงวิดีโอ 2 มิติ ให้กลายเป็นภาพ 3 มิติบนจอแสดงผลที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษ (พัฒนาร่วมกับ HP) เหมาะสำหรับการประชุมทางไกลที่ต้องการความรู้สึกสมจริงเสมือนการพบปะกันจริงๆ หรือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าที่อยู่ห่างไกลได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่า อุปกรณ์ Google Beam คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงปลายปี 2025 Gemini Live AI ผู้ช่วยวิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์ Gemini Live เป็นฟีเจอร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้แชร์หน้าจอหรือภาพจากกล้องเพื่อให้ Gemini ช่วยวิเคราะห์และให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น การเปิดกล้องให้ Gemini ช่วยวิเคราะห์แผนผังร้านค้าเพื่อปรับปรุงการจัดวางสินค้า ปัจจุบันฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Android ทุกคน และกำลังทยอยเปิดให้ใช้งานบน iOS Agent Mode AI ผู้ช่วยอัจฉริยะจัดการงานบนเว็บ ฟีเจอร์นี้พัฒนาจากงานวิจัย Project Mariner โดย Agent Mode ในแอป Gemini จะมีความสามารถในการโต้ตอบกับเว็บไซต์และทำงานแทนผู้ใช้ได้ เช่น การค้นหาห้องเช่าตามเงื่อนไขที่กำหนดบนเว็บไซต์ต่างๆ ปรับตัวกรอง และเข้าถึงข้อมูลจากเว็บ ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ค้นหาและเว็บไซต์ที่ได้รับ traffic ฟีเจอร์นี้จะเปิดให้ใช้งานในวงกว้างเร็วๆ นี้ ส่วน Agent Mode ในแอป Gemini เวอร์ชันทดลองจะเปิดให้ผู้สมัคร Google AI Pro และ Ultra ได้ใช้งานก่อนในเร็วๆ นี้ Gemini เชื่อมต่อข้ามแพลตฟอร์ม ไร้รอยต่อ Gemini จะขยายความสามารถในการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันอื่นๆ มากขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะใน Google Workspace แต่ยังสามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันของบริษัทอื่นผ่าน MCP (Model Context Protocol) และ API ซึ่งจะทำให้การทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น เช่น การสั่ง Gemini ใน Google Docs ให้สร้างสไลด์ PowerPoint จากเนื้อหาในเอกสาร Google ฟีเจอร์นี้กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาและจะเปิดให้นักพัฒนาใช้งานผ่าน Gemini API Google Search ยกระดับสู่ AI Mode เพื่อการค้นหาที่ชาญฉลาดกว่าเดิม Google Search กำลังพัฒนาจาก AI Overview ไปสู่ AI Mode ที่ไม่ใช่เพียงการค้นหาข้อมูล แต่เป็นการให้ “ความชาญฉลาด” ด้วยโหมดการค้นหาใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เต็มรูปแบบ มีความสามารถในการให้เหตุผลที่ดีขึ้น ผู้ใช้สามารถถามคำถามที่ยาวและซับซ้อนกว่าเดิม (ยาวกว่าการค้นหาทั่วไป 2-3 เท่า) และยังสามารถถามคำถามต่อเนื่องได้ ทั้งหมดนี้จะอยู่ในแท็บใหม่บนหน้าผลการค้นหา ตัวอย่างเช่น จากเดิมที่ค้นหา “วิธีการสร้างเว็บไซต์” ผู้ใช้จะสามารถสั่งให้ AI “ช่วยสร้างแผนการตลาดสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ขายเสื้อผ้าเด็กเล็ก” และ AI จะจัดเตรียมข้อมูลและโครงสร้างเบื้องต้นมาให้ AI Mode กำลังเปิดให้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาแล้ว โดยมี Gemini 2.5 เป็นขุมพลังเบื้องหลัง ส่วนในประเทศไทยคาดว่าจะได้ใช้งานในอนาคตอันใกล้ Personalized Smart Replies ใน Gmail: ตอบอีเมลอย่างเป็นธรรมชาติด้วย AI Gemini จะช่วยให้การตอบอีเมลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดย AI จะสามารถเข้าถึงอีเมลเก่าๆ และไฟล์ใน Google Drive เพื่อเรียนรู้สไตล์การเขียนของผู้ใช้ ทำให้การตอบอีเมลทำได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติ เสมือนผู้ใช้เป็นผู้ตอบเอง ฟีเจอร์นี้กำลังเปิดให้ใช้งานสำหรับผู้ใช้ Gemini AI Pro และ Ultra รวมถึงผู้ใช้ Google Workspace ที่มี Add-on AI การเปิดตัวนวัตกรรม AI ชุดใหญ่ในงาน Google I/O 2025 ครั้งนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่จะส่งผลต่อภูมิทัศน์การทำงานและธุรกิจในอนาคต ขณะนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทุกคนจะต้องปรับตัว เรียนรู้ และนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบและขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าครับ ข้อมูลจาก https://blog.google/products/google-one/google-ai-ultra/ และ https://blog.google/technology/ai/io-2025-keynote/
ชมวิดีโอได้ทันทีหลังอัปโหลด บน Google Drive
ไม่ต้องรอนานอีกต่อไป! Google Drive เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ให้คุณรับชมวิดีโอได้ทันที หลังจากอัปโหลดเสร็จ บนเว็บ โดยไม่ต้องรอการประมวลผลไฟล์ให้เสร็จสิ้น ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ ฟีเจอร์นี้พร้อมให้บริการสำหรับ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บและเล่นวิดีโอใน Google Drive ได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือ
ยกระดับการทำงานเป็นทีมด้วย NotebookLM Plus
NotebookLM Plus เวอร์ชันใหม่ล่าสุด พร้อมให้บริการลูกค้า Google Workspace ที่ใช้ Gemini แล้ววันนี้ NotebookLM Plus มีอะไรใหม่ NotebookLM Plus ช่วยคุณได้อย่างไร เริ่มต้นใช้งาน NotebookLM Plus พร้อมให้บริการสำหรับลูกค้า Google Workspace ที่มี Add-on เหล่านี้: ปลดล็อกศักยภาพของ AI และทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย NotebookLM Plus
พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานทั่วโลกได้อย่างราบรื่นด้วยฟีเจอร์แปลภาษาอัตโนมัติใน Google Chat
Google Chat เพิ่มฟีเจอร์ “แปลภาษาให้ฉัน” ที่ช่วยให้การสื่อสารกับทีมงานทั่วโลกเป็นเรื่องง่าย แม้จะพูดคนละภาษา แปลภาษาได้มากกว่า 120 ภาษา วิธีเปิดใช้งาน หมายเหตุ ฟีเจอร์นี้พร้อมให้บริการสำหรับลูกค้า Google Workspace ที่มี Add-on เหล่านี้: เริ่มต้นการสื่อสารไร้พรมแดนด้วย Google Chat วันนี้!









