Blog

ไม่ใช่แค่ AI แต่คือ ‘Agentic AI’: สิ้นสุดยุคการทำงานแยกจากกันโดยสิ้นเชิงด้วย Gemini Enterprise จาก Google Cloud

ไม่ใช่แค่ AI แต่คือ ‘Agentic AI’: สิ้นสุดยุคการทำงานแยกจากกันโดยสิ้นเชิงด้วย Gemini Enterprise จาก Google Cloud

แม้ว่าองค์กรต่างๆ จะพยายามลงทุนในเครื่องมือ AI มากเพียงใด แต่เครื่องมือเหล่านั้นกลับทำงานแยกส่วนกันอย่างสิ้นเชิง ลองนึกภาพตาม: ทีมขายมี AI อัจฉริยะในระบบ CRM ช่วยวิเคราะห์โอกาส, ทีมการตลาดใช้ AI อีกตัวเพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์, ขณะที่ฝ่ายการเงินก็มี AI สำหรับพยากรณ์ตัวเลขโดยเฉพาะ พนักงานอาจมี AI ช่วยเขียนอีเมล, AI ช่วยสรุปเอกสาร, หรือ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล แต่ AI เหล่านี้ต่างคนต่างอยู่ ไม่รู้จักกัน และไม่สามารถผนึกกำลังกันเพื่อจัดการ “งานที่ซับซ้อน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจได้

ผลลัพธ์คืออะไร? คือการสูญเสียประสิทธิภาพ พนักงานต้องเสียเวลาสลับไปมาระหว่างแอปพลิเคชัน, คัดลอกข้อมูลจากระบบหนึ่งไปวางอีกระบบหนึ่ง และพยายามปะติดปะต่อผลลัพธ์จาก AI หลายๆ ตัวเข้าด้วยกันด้วยตนเอง กระบวนการทำงานที่ควรจะเป็นอัตโนมัติแบบ end-to-end เช่น การจัดทำรายงานผลประกอบการรายไตรมาส ซึ่งต้องดึงข้อมูลจากทั้ง Salesforce, SAP, และ Google Ads กลับกลายเป็นคอขวดที่ต้องใช้แรงงานคนมหาศาล นี่คืออุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ยุค AI อย่างแท้จริง และทำให้ศักยภาพของ AI ถูกจำกัดอยู่แค่การทำงานย่อยๆ เท่านั้น

วันนี้ Google Cloud ไม่ได้มาเพื่อปรับปรุงแก้ไข แต่มาเพื่อ “รื้อสร้าง” กระบวนทัศน์นี้ใหม่ทั้งหมด ด้วยการประกาศเปิดตัว Gemini Enterprise (ซึ่งพัฒนามาจากวิสัยทัศน์ในชื่อ Agentspace) นี่ไม่ใช่แค่ Chatbot หรือผู้ช่วย AI ที่ฉลาดขึ้น แต่คือการมาถึงของแพลตฟอร์ม “Agentic AI” ที่ครบวงจรและบูรณาการที่สุดในอุตสาหกรรม มันถูกออกแบบมาเพื่อทำลายกำแพงไซโล ทำหน้าที่เป็น “ประตูบานแรกสู่โลก AI” (front door for everything AI) ซึ่งเป็นจุดเข้าใช้งานเพียงจุดเดียวสำหรับพนักงานทุกคนในองค์กร ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการความช่วยเหลือด้านใดก็ตาม

คำว่า “Agentic AI” อาจฟังดูซับซ้อน แต่หัวใจของมันคือการเปลี่ยนจากการสั่งให้ AI ทำ “งานเดี่ยว” (single task) ไปสู่การมอบหมายให้ AI จัดการ “ภารกิจ” (mission) ที่ซับซ้อนแทนเรา แล้วเบื้องหลังความสามารถอันน่าทึ่งนี้มีอะไรซ่อนอยู่? ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกว่า Gemini Enterprise ช่วยแก้ปัญหาการทำงานแบบไซโลได้อย่างไร และองค์ประกอบหลักใดที่ทำให้แพลตฟอร์มนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะพลิกโฉมหน้า AI ในที่ทำงานไปตลอดกาล

องค์ประกอบหลักของ Gemini Enterprise: เมื่อ AI ทำงานเป็น “กองทัพ”

Gemini Enterprise ถูกออกแบบมาเพื่อทลายกำแพงไซโล โดยเชื่อมต่อพนักงานเข้ากับข้อมูลและกระบวนการทำงานต่างๆ ทั่วทั้งองค์กร ทำให้สามารถสั่งการ AI Agent (ผู้ช่วยอัจฉริยะ) ให้ทำงานที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนได้โดยอัตโนมัติ ความมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นได้จากองค์ประกอบหลักที่ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ

1. ขับเคลื่อนด้วย Gemini Models (The Brains)

หัวใจและ “สมอง” ของระบบนี้ คือขุมพลังจากโมเดล AI ตระกูล Gemini ที่ล้ำหน้าที่สุดของ Google ทำให้แพลตฟอร์มมีความสามารถในการให้เหตุผลที่ซับซ้อน เข้าใจได้หลายรูปแบบ (Multimodal) และสามารถประมวลผลคำสั่งที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์หลายชั้น ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงานที่ซับซ้อน

2. กองทัพ AI Agent ที่พร้อมใช้งาน (The Taskforce)

Gemini Enterprise ไม่ได้มามือเปล่า แต่มาพร้อมกับ “กองทัพ” AI Agent ที่ Google สร้างไว้ล่วงหน้า (Google-built agents) สำหรับงานเฉพาะทางที่พบบ่อยในองค์กร ไม่ว่าจะเป็น Agent สำหรับการวิจัยเชิงลึก (Run Deep Research), การระดมสมอง (Idea Generation), หรือแม้กระทั่งการสร้างวิดโอและรูปภาพ นอกจากนี้ องค์กรยังสามารถสร้าง Agent ของตนเอง หรือเลือกใช้ Agent จากพาร์ทเนอร์ในระบบนิเวศของ Google ได้อีกด้วย

3. เครื่องมือสร้าง Agent แบบ No-code (The Workbench)

นี่คือจุดที่เปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง “The Workbench” คือชุดเครื่องมือที่ช่วยให้พนักงานทุกคน แม้จะไม่ได้อยู่ในสายงานเทคนิคหรือเขียนโค้ดไม่เป็น สามารถสร้างและควบคุม (Orchestrate) AI Agent ของตนเองได้ ลองนึกภาพพนักงานฝ่ายการตลาดสร้าง Agent เพื่อดึงข้อมูลยอดขายจาก Salesforce วิเคราะห์คู่แข่ง แล้วร่างแคมเปญใหม่โดยอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องรอฝ่าย IT

4. เชื่อมต่อทุกข้อมูลอย่างปลอดภัย (The Context)

Agent ที่ฉลาดที่สุดก็ไร้ประโยชน์หากเข้าไม่ถึงข้อมูลที่ถูกต้อง Gemini Enterprise ถูกออกแบบมาให้เชื่อมต่อกับข้อมูลของบริษัทได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะอยู่ที่ไหน นี่คือหัวใจของการแก้ปัญหาไซโล เพราะมันสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจาก Google Workspace, Microsoft 365 ไปจนถึงแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่สำคัญอย่าง Salesforce, SAP และระบบอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ AI ทำงานโดยอิงจาก “ความจริง” (grounded in the reality) ขององค์กรคุณ ผู้ใช้งานสามารถ เลือกเปิด-ปิด (Toggle) การเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลต่างๆ ได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลภายใน (เช่น SharePoint, Drive, Jira) หรือข้อมูลจากเว็บภายนอก เพื่อให้ได้คำตอบที่แม่นยำและอยู่ในบริบทที่ถูกต้องที่สุด

5. ระบบควบคุมจากส่วนกลาง (The Governance)

การให้ AI เข้าถึงข้อมูลสำคัญย่อมมาพร้อมกับความกังวลด้านความปลอดภัย Google Cloud เข้าใจดีจึงได้สร้างกรอบการกำกับดูแลที่แข็งแกร่ง ช่วยให้ฝ่าย IT และ Security สามารถมองเห็นภาพรวม (visibility), รักษาความปลอดภัย และตรวจสอบ (audit) การทำงานของ AI Agent ทั้งหมดได้จากที่เดียว ช่วยให้องค์กรสามารถขยายการใช้งาน AI ได้อย่างมั่นใจและเป็นไปตามข้อกำหนด (Compliance)

6. สถาปัตยกรรมแบบเปิด (Open Ecosystem)

Google ยึดมั่นในหลักการของความเปิดกว้าง Gemini Enterprise จึงถูกสร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรมแบบเปิด (comprehensive and open agentic ecosystem) รองรับมาตรฐานอุตสาหกรรม และสนับสนุนโดยระบบนิเวศของพาร์ทเนอร์กว่า 100,000 ราย ซึ่งหมายความว่าองค์กรจะไม่ถูกจำกัดอยู่กับเครื่องมือของผู้ให้บริการเพียงรายเดียว แต่มีอิสระในการเลือกสรรนวัตกรรมและทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ

เจาะลึกเบื้องหลังทางเทคนิค: สถาปัตยกรรมที่รองรับทุกความเป็นไปได้

สิ่งที่ทำให้ Gemini Enterprise ทรงพลัง ไม่ใช่แค่หน้าตาที่สวยงาม แต่คือสถาปัตยกรรมที่ถูกคิดมาอย่างดี ซึ่งประกอบด้วยชั้นต่างๆ ที่ทำงานประสานกัน

  • ชั้นของผู้ใช้งาน (User Layer – Gemini Enterprise): เป็นส่วนที่พนักงานทุกคนโต้ตอบด้วย ซึ่งรวมถึง NotebookLM, Agent สำหรับสร้างไอเดีย, Agent สำหรับการวิจัย และ Agent Designer ที่ใช้งานง่าย
  • ชั้นของนักพัฒนา (Builder Layer): อยู่เบื้องหลังความง่ายนั้น คือเครื่องมือระดับสูงสำหรับนักพัฒนา ไม่ว่าจะเป็น Agent Builder (สำหรับสร้างและจัดการ Agent), Model Builder (สำหรับปรับจูนโมเดล) และ Model Garden (คลังโมเดลจาก Google และพาร์ทเนอร์)
  • ชั้นโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Layer): ทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บน Google Cloud Infrastructure (GPU/TPU) และ Google Data Cloud ที่มั่นคง ปลอดภัย และขยายตัวได้ตามต้องการ

กระบวนการเชื่อมต่อข้อมูลจากภายนอก เช่น การดึงข้อมูลและสิทธิ์การเข้าถึงจาก SharePoint จะถูกจัดการอย่างเป็นระบบ โดยข้อมูลจะถูกแปลงเป็น Vector Embeddings และจัดเก็บใน Vector Store ซึ่งช่วยให้การค้นหาและเรียกใช้ข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยยังคงเคารพสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล (Permission) เดิมของผู้ใช้เสมอ

นอกจากนี้ เพื่อตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยขององค์กรขนาดใหญ่ Gemini Enterprise ยังรองรับ ระบบยืนยันตัวตน (Authentication) ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น

  1. Google Authentication: ผ่าน Google Cloud Identity
  2. Third party authentication: เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการรายอื่นอย่าง ADFS, Okta, PingIdentity ผ่าน Workforce Identity Federation

Single Sign-On ( SSO): เพื่อประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นและปลอดภัย

เชื่อมโยงกับเทรนด์: ก้าวสู่ยุค “Agentic AI” อย่างเต็มตัว

การเปิดตัว Gemini Enterprise ไม่ใช่เพียงการอัปเดตผลิตภัณฑ์ แต่คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ยุคต่อไปของ AI ในที่ทำงานคือยุค “Agentic AI” อย่างแท้จริง ถ้าเปรียบ AI แบบดั้งเดิมเป็นเหมือนเครื่องมือช่างเฉพาะทาง เช่น สว่านหรือเลื่อยไฟฟ้าที่ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมเพียงอย่างเดียว “Agentic AI” ก็เปรียบเสมือน “หัวหน้าช่าง” อัจฉริยะ ที่ไม่เพียงใช้เครื่องมือทุกชิ้นเป็น แต่ยังสามารถวางแผน, จัดลำดับงาน, และบริหารจัดการโปรเจกต์การก่อสร้างที่ซับซ้อนทั้งโครงการได้ด้วยตัวเอง นี่คือการเปลี่ยนผ่านจากการใช้ AI เพื่อทำงานย่อยๆ (single tasks) ไปสู่การมอบหมายให้ AI จัดการ “กระบวนการที่ซับซ้อน” (complex workflows) ทั้งหมดแทนเรา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงกระบวนทัศน์นี้สอดรับกับเทรนด์การทำงานแห่งอนาคตอย่างสมบูรณ์แบบ

1. ขับเคลื่อน Hybrid Work ที่ไร้รอยต่อยิ่งขึ้น: การทำงานแบบไฮบริดสร้างความท้าทายในการประสานงานข้ามสถานที่และโซนเวลา Agentic AI เข้ามาแก้ปัญหานี้โดยตรง พนักงานสามารถมอบหมายให้ Agent ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานอัตโนมัติ เช่น “ช่วยสรุปความคืบหน้าของโปรเจกต์ X จากทีม A ในเอเชียและทีม B ในยุโรป แล้วร่างอีเมลอัปเดตส่งให้ผู้บริหารภายใน 9 โมงเช้าพรุ่งนี้” Agent จะเข้าไปดึงข้อมูลจาก Slack, อัปเดตสถานะใน Asana, แล้วร่างอีเมลใน Gmail โดยอัตโนมัติ ลดภาระการประชุมที่ไม่จำเป็นและทำให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพสูงสุด

2. เร่งสปีด Digital Transformation อย่างแท้จริง: หลายองค์กรติดกับดัก Digital Transformation ที่ทำได้เพียงแปลงกระบวนการเดิมๆ เป็นดิจิทัล แต่ Agentic AI ช่วยให้องค์กรสามารถ “คิดใหม่ทำใหม่” (reimagine) กับ workflow ทั้งหมดได้ ตัวอย่างเช่น กระบวนการ Onboarding พนักงานใหม่ที่เคยใช้เวลาเป็นสัปดาห์ สามารถย่อลงเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยให้ Agent จัดการทุกอย่างตั้งแต่การสร้างบัญชีผู้ใช้ในระบบต่างๆ, การส่งเอกสารที่จำเป็น, ไปจนถึงการจัดตารางอบรมเบื้องต้นกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

3. ปลดปล่อยพลังของ “Democratization of AI”: การมาถึงของเครื่องมือสร้าง Agent แบบ No-code คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุด มันทำลายกำแพงทางเทคนิคและมอบอำนาจให้แก่พนักงานทุกคน เมื่อนักวิเคราะห์การเงินสามารถสร้าง Agent ส่วนตัวเพื่อเฝ้าระวังความผิดปกติในตลาด, หรือผู้จัดการฝ่ายบริการลูกค้าสามารถสร้าง Agent เพื่อวิเคราะห์เสียงของลูกค้าจากทุกช่องทางและแจ้งเตือนปัญหาเร่งด่วนได้เอง นวัตกรรมก็ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในฝ่าย IT อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนจากทุกคนในองค์กร AI จึงไม่ใช่ “เครื่องมือ” ที่น่ากลัว แต่เป็น “ทักษะ” ใหม่ที่พนักงานทุกคนสามารถเรียนรู้และนำไปสร้างสรรค์คุณค่าให้แก่องค์กรได้อย่างไร้ขีดจำกัด

Gemini Enterprise คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบของ Google ต่อปัญหา “ไซโล” ที่ฝังรากลึกและฉุดรั้งประสิทธิภาพขององค์กรมานาน นี่ไม่ใช่แค่การนำเสนอชุดเครื่องมือ AI ที่ดีขึ้น แต่เป็นการสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่ทำงานประสานกันอย่างลงตัว ด้วยองค์ประกอบหลักและสถาปัตยกรรมที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่ “สมอง” (Gemini Models) ที่ชาญฉลาดเป็นเลิศ, “กองทัพ” Agent (Taskforce) ที่พร้อมรบและปรับแต่งได้, “เครื่องมือ” สร้าง Agent (Workbench) ที่ทำให้ทุกคนเป็นนักพัฒนาได้, และ “การเชื่อมต่อ” (Context) ที่ไร้พรมแดน ทำให้ข้อมูลและระบบต่างๆ ทั่วทั้งองค์กรสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างแท้จริง

ผลลัพธ์ที่ได้คือ การปลดล็อกศักยภาพของพนักงานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มันคือการเปลี่ยนบทบาทของพนักงานจากการเป็นผู้ลงมือทำงานซ้ำซากที่น่าเบื่อหน่าย ไปสู่การเป็น “ผู้ควบคุม” หรือ “วาทยกร” (Orchestrator) ที่คอยกำกับดูแลกองทัพ AI Agent ให้ทำงานแทน ความรู้และประสบการณ์ของพวกเขาจะถูกใช้ไปกับการวางกลยุทธ์, การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน, และการตัดสินใจที่ต้องอาศัยวิจารณญาณของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่จะเพิ่มผลิตภาพมหาศาล แต่ยังช่วยยกระดับความพึงพอใจในการทำงานและส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมให้เกิดขึ้นจริง เพราะพนักงานจะมีเวลาและพลังงานเหลือเฟือเพื่อโฟกัสกับงานที่สร้างสรรค์และมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างแท้จริง

เริ่มต้นการเดินทางสู่ Agentic AI ของคุณ

Gemini Enterprise พร้อมให้บริการแล้วทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย องค์กรที่สนใจก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ และปลดล็อกประสิทธิภาพการทำงานยุคใหม่ด้วย Agentic AI สามารถติดต่อทีมงาน Google Cloud หรือพาร์ทเนอร์ที่ท่านไว้วางใจ เพื่อขอรับการสาธิต (Demo) หรือพูดคุยเกี่ยวกับ Use Case ที่เหมาะสมกับองค์กรของคุณได้แล้ววันนี้

นอกจากแพลตฟอร์มที่ทรงพลัง Google Cloud ยังได้เตรียมเครื่องมือและโปรแกรมอัปสกิล (Upskilling) อีกมากมาย เพื่อให้แน่ใจว่าทุกองค์กรจะสามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากยุค Agentic AI ได้อย่างสำเร็จและยั่งยืน